ควันหลงวันเด็ก กับเรื่องราวในวัยเด็ก จุดเริ่มต้นของการทำงานในวงการบันเทิงตั้งแต่อายุน้อยๆ จวบจนปัจจุบัน ที่ยังคงยืนหยัดและกลายมาเป็นนักแสดงชายยอดนิยม มีแฟนๆติดตามกันแบบล้นหลาม เผยมุมมองและประสบการณ์ของนักแสดงจากวัยเด็กของ “หลุยส์ สก๊อตต์”   กว่า 30 ปี ที่โลดแล่นอยู่ในวงการ ตลอดจนแง่คิดดีๆ สำหรับน้องๆหนูๆกับการใช้ชีวิตในโลกไซเบอร์ และน้องๆที่สนใจเข้าวงการบันเทิง

จุดเริ่มต้นของการทำงาน

            “หลุยส์เข้ามาวงการครั้งแรก ตอนอายุ 7 ขวบ กับหนัง โตแล้วต้องโต๋  จากนั้นพอ 10 ขวบเรื่มเข้าวงการเพลง เด็กๆเราก็ยังไม่รู้ว่าวงการนี้คืออะไร จนตอนนั้นคุณแม่ทำงานเป็น Modeling Agency  แล้วเพื่อนก็จะพาลูกๆซึ่งเป็นแนวเด็กลูกครึ่งมาแคสติ้งงานต่างๆ จนได้มีโอกาสแคสติ้งด้วย ยังเด็กก็ไม่ได้คิดอะไร สถานะทางบ้านตอนนั้นก็ค่อนข้างหนัก หลังจากเสียคุณพ่อไปตั้งแต่ตอนอายุ 4 ขวบ คุณแม่ต้องทำหน้าที่ทุกอย่างคนเดียว แล้วเราเองก็เรียนนานาชาติ ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง  เลยคิดว่าน่าจะช่วยคุณแม่ทำงานได้บ้าง รวมทั้งได้ประสบการณ์ใหม่ๆด้วย ก็เลยลองดู ประกอบกับแคสติ้งผ่านตั้งแต่งานแรก ที่เป็นงานหนัง เลยได้เริ่มทำงานตั้งแต่นั้นมา”

ประสบการณ์การแสดงในช่วงแรก

            “การแสดงเรื่องแรก ยอมรับว่าแย่มาก คือจริงๆก็มั่นใจ เราคิดว่าโอเค แต่ก็มองตัวเองว่าไม่ได้เก่งขนาดนั้น เราคิดว่าเรายังมีพื้นที่ในการพัฒนาตัวเองสูง เรายังสามารถทำได้ดีกว่านี้อีกนะ ตอนนั้นภาษาไทยเราก็ไม่แข็งแรง ไม่ฉะฉาน สำเนียงมันจะดูแปลกๆ เหมือนลูกครึ่งที่พยายามจะพูดไทย ทางกองเค้าก็บอกใช้ได้นะ แต่พอเรากลับไปดู อยากจะลบคลิปเลย น่าจะแสดงได้ดีกว่านี้นะ น่าจะเรียนภาษาไทยให้เร็วว่านี้ แต่ถ้ามองในแง่ดี เราก็คิดว่ามันเป็นสเต็ปแรก เป็นงานชิ้นแรกก็รู้สึกภูมิใจครับ พอเรามีงาน Modeling ก็จะรับงานให้ต่อเนื่อง ก็เป็นแนวถ่ายโฆษณา 4-5 ตัว ซึ่งถึงแม้ค่าตัวถ้าเทียบกับในยุคนี้จะไม่ได้มากมายอะไร แต่เรารู้สึกมีความสุขกับการทำงาน กับผลงานเรามากกว่า มีคนให้ความสนใจเรา เราจะรู้สึกภูมิใจกับตัวเอง และเหมือนสร้างความมั่นใจให้กับเราในอายุขนาดนั้น  เพราะธรรมชาติของเด็กๆในวัยนั้น จะไม่กล้าแสดงออก มีความกลัวกล้อง กลัวคนเยอะๆ กลัวพูดบท ประมาณนี้  แต่เด็กอย่างเราเหมือนเป็นการได้พัฒนาชีวิตในหลายๆด้าน ในด้านการเรียนด้วย เวลาเราเรียน เรากล้าที่พูดกับครู  เราจะนั่งอยู่แถวหน้า มันจะมั่นใจมากขึ้น เวลาครูเรียกให้เราไปอ่านอย่างบทความประวัติศาสตร์ หลายๆอย่างมันทำให้เราคาดไม่ถึงเวลาเราสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง”

ก้าวเข้าสู่วงการเพลง

            “ ถามว่ามีพรสวรรค์ทางด้านนี้มั้ย ตอบได้เลยว่าไม่มี แต่เราอาศัยการกล้าแสดงออก กล้าพูด ในความเป็นจริง เพลงที่ติดหูของแรพเตอร์ส่วนใหญ่ แนวร้องจะเป็นของจอนนี่ อันวา อยู่แล้ว เพราะเค้าจะมีพรสวรรค์ทางด้านร้องเพลง แต่ในส่วนของความเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คนที่จะคุยกับสื่อ หรือคุยกับแฟนๆ เค้าก็เลยมองว่ามีอีกคนที่ต้องเป็นแบบนั้น มันก็กลายเป็นแมทชิ่งที่ค่อนข้างจะตรงกัน มันลงตัวในการสื่อสารกับนักข่าว  เวลาสื่อสารจากบนเวที ในขณะเดียวกันเราก็พยายามพัฒนาการร้องเพลงไปด้วย เพราะเราไม่มีพรสวรรค์ ถ้าเราไม่ให้ความสนใจเต็มร้อย มันก็จะไม่พัฒนา อีกอย่างเราต้องการจะช่วยคุณแม่ด้วย และงานตรงนี้เป็นเรื่องที่ดี ที่เราจะมีแฟนๆมีคนรู้จักเราเพิ่มมากขึ้น มันเป็นเรื่องบวกอยู่แล้ว เราก็ทำไป ได้ทำกับเพื่อนด้วยมันยิ่งโอเคใหญ่ ซึ่งตรงนี้เสียงตอบรับจากแฟนๆดีมาก ยุคนั้นโทรศัพท์ สื่ออะไรต่างๆยังไม่เท่ากับตอนนี้  แฟนๆก็จะประมาณขอลายเซ็นต์ ไม่มีถ่ายรูป ถ่ายรูปทีจะต้องเป็นกล้องใหญ่เลย มันทำให้เราวัดได้ว่า คนรู้จักเรา ชื่นชอบเรามากขึ้นจากตรงนี้ เปรียบเทียบกับตอนถ่ายหนังเรื่องแรก งานถ่ายโฆษณา มันทำให้เรารู้สึกภูมิใจขึ้นไปอีกขั้น รู้สึกสนุกสนาน เหมือนหลงไปกับความมีชื่อเสียงด้วย มันก็มีเรื่องไม่ดีตรงที่พอเราเป็นศิลปิน คนก็จะให้ความสำคัญ ความเกรงใจ ไม่กล้าว่า ยิ่งเป็นเด็ก เราก็จะแบบซนเต็มที่  ทำของเสียหายบ้าง แกล้งคนนั้นคนนี้บ้าง มันเหมือนเป็นพาวเวอร์ที่เราได้จากตรงนี้ แฮปปี้กับแฟนเพลงของเราที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เวลาคนไปดูเราเล่นคอนเสิร์ตเยอะๆ ร้องเพลงของเราได้ เหมือนเราเข้าถึงเค้า เค้าก็เข้าถึงเรา และกลายเป็นว่าต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้”

มุมมองของการเริ่มทำงานตั้งแต่วัยเด็ก

            “มันก็เป็นเรื่องที่ดีที่เราทำงานตั้งแต่เด็ก แต่ก็จะมีเรื่องของการเสียความเป็นเด็ก เราจะไม่มีความสนุกสนาน หรือสีสันที่เท่ากับการใช้ชีวิตเป็นเด็ก ด้านการเรียนก็ต้องเรียนถึง 2 โรงเรียนใน 1วัน ทั้งโรงเรียนนานาชาติ และโรงเรียนไทย เวลามีกิจกรรมแอบอิจฉาเพื่อนๆไปทัศนศึกษา ไปเข้าค่าย เราร้องไห้เลยนะไม่ได้ไปกับเค้า เพราะเราติดงาน เราก็จำเป็นต้องทำ เรื่องของความรับผิดชอบ ความอดทน แต่พอก้าวข้ามจุดนั้นมาสักพัก เราก็จะเข้าใจมากขึ้น เมื่อเราโตขึ้น เราก็จะเข้าใจว่าสิ่งไหนสำคัญกว่า เรื่องของการsupportครอบครัว เรื่องของความเสียสละ เรื่องงานที่เราจะเป็นฝ่ายดูแลครอบครัวเอง ทำให้ความคิดเราโตกว่าเพื่อนๆในรุ่นเดียวกัน เราจะโดนสอนและกดดันในเรื่องของความไม่ผิดพลาด มันจะสะสมมาเรื่อยๆตรงนี้มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วยว่ากล้าออกไปเผชิญตรงนี้มากน้อยแค่ไหน ถ้ากล้าที่จะตัดสินใจ คุณจะเรียนรู้กับภูมิคุ้มกันตรงนี้ได้เร็วขึ้น ซึ่งทั้งหมดก็จะส่งผลดีมาถึงตอนปัจจุบัน ในเรื่องของการที่เราขยันทำงาน เรื่องของความรับผิดชอบ และจัดการกับปัญหาต่างๆ เพราะเราต้องทำงานมาตั้งแต่เด็ก เลยไม่รู้สึกว่าการทำงานเป็นเรื่องยาก เราชินแล้วกับการที่มีงานเยอะ ไม่ค่อยว่าง เวลาพักผ่อนน้อย  เหมือนกลายเป็นความเคยชิน ในทางกลับกันถ้าเราไม่เคยได้ผ่านมางานมาตั้งแต่เด็ก เราก็อาจบ่นเวลาเจองานหนักๆ”

ถ้าให้ย้อนกลับไปได้ จะออกแบบชีวิตในวัยเด็กแบบไหน

“ถ้าให้เลือกตอนนี้ เรายังยีนยันที่จะเป็นเหมือนเดิมที่ผ่านมา แม้ว่าเส้นทางนี้จะยากลำบาก แต่มันก็ทำให้เป็นหลุยส์ ทุกวันนี้ เราจะด้านกับอารมณ์ เมื่อคนเกลียดหรือวิจารณ์ กระแสโซเชียลมีเดียทุกวันนี้ เรื่องดราม่าต่างๆ เราอยู่ในวงการมานานเราจะรับมือได้ง่าย เรียกว่าเราอยู่กับโลกในแบบนี้ได้ เรามีอาวุธแบบนี้ได้ ต้องสั่งสมเวลามาไม่น้อย แต่คนที่เพิ่งเข้ามาวงการใหม่ๆ ถ้าเจออะไรแบบนี้ก็อาจจะไขว้เขวได้เร็ว                   ยิ่งเข้ามามีชื่อเสียงไว อย่างไรก็ไขว้เขวไว มันจะมีเรื่องของราคา ดังขนาดไหน ราคาของคุณจะยิ่งแพงกว่านั้น ตรงนี้ถือว่าเราได้ประโยชน์มากกว่า จากการทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ถ้าให้เลือกจริงๆ ตอนเด็กคงอยากเป็นสถาปนิก เพราะชอบวาดรูป การเขียน ความจุกจิกของตัวเลข”

ความแตกต่างของนักแสดงเด็กในยุคนี้ กับยุคที่ผ่านมา

            “ ต่างกันมากครับ โดยเฉพาะการเรียนรู้ของเด็กยุคปัจจุบัน เค้าไวกว่าเราเยอะครับ ด้วยเรื่องของเทคโนโลยี เรื่องข่าวสาร ที่มีความรวดเร็ว เราสามารถรู้ว่าทุกคนกำลังทำอะไรอยู่ รู้เทรนด์ในยุคปัจจุบัน  แล้วยิ่งสำหรับคนที่มีทีมคอยช่วยอยู่ ก็จะยิ่งตอบโจทย์ได้เร็ว เรียนรู้เร็ว โดยเฉพาะพรสวรรค์ของเด็กสมัยนี้มีมากกว่าสมัยก่อน เห็นได้จากเรื่องของแอคติ้งการแสดง ดูหน้าตา รู้เลยว่าเด็กสมัยนี้มีของ จนทำให้เราบางทีต้องไปค้นหาข้อมูลว่ามาจากไหน บางคนร้องเพลงก็ร้องได้ดี เมื่อเทียบกับเราสมัยก่อน อย่างที่บอกแต่ละคนไม่เหมือนกัน เด็กสมัยนี้เรียนรู้ไวมาก พัฒนาเร็วมาก                  มีความตั้งใจมุ่งมันกว่าเราเสียอีก มีแรงผลักดันเต็มที่ที่จะทำให้ตัวเองประสบผลสำเร็จ แล้วก็ประสบผลสำเร็จ ที่สำคัญเค้าเกิดมาในยุคนี้อาวุธมีครบมือกว่าเรา ประกอบกับพรสวรรค์ของแต่ละคนที่มีเน้นๆ”

กระแสโลกไซเบอร์กับเด็กๆปัจจุบัน

            “ในปัจจุบันสำหรับเด็กๆ ถือว่า ด้านลบ เพราะว่าการเติบโตของเด็กจำเป็นต้องอาศัยเรื่อง Human Contact  ต้องเจอการสื่อสารแบบ Face to Face ต้องเห็นหน้ากันเพื่อหลีกเลี่ยงอาการของโรคต่างๆในอนาคต อย่างโรคซึมเศร้า โรคหลายบุคลิก อาการโมโหร้าย อาการเก็บกด ความเห็นแก่ตัวมากขึ้น  จากการที่มีพฤติกรรมอยู่กับโทรศัพท์ เพราะเขาสามารถจะเป็นใครก็ได้เวลาที่อยู่กับโทรศัพท์ หรือจะเลือกดูอะไรก็ได้ที่เค้าอยากดู แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง เรามีพื้นที่ที่เป็นสาธารณะ เราแบ่งพื้นที่กับคนอื่นๆ เพราะฉะนั้นเด็กควรที่จะเรียนรู้เองจากเรื่องจริง เล่นกับเพื่อนที่เป็นเพื่อนจริงๆ ไม่ใช่เพื่อนจากโลกไซเบอร์ หรือสิ่งที่คิดหรือมโนไปเอง อย่างบางกรณีอยากเป็นในสิ่งที่คิด แต่ไม่สามารถทำได้ ก็จะเกิดผลในแง่ลบ ในทางกลับกันเด็กบางคนอาจได้แรงบันดาลใจจากบุคคลต้นแบบที่ดีในโลกไซเบอร์ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะเลือกแบบไหน อย่าลืมว่าถ้ามีคนเลือกไปทางที่ดีได้ หลายคนก็อาจจะเลือกทางที่ผิดได้ด้วยเช่นกัน ปัญหาที่พบได้บ่อยครั้ง เรื่องของการติดโทรศัพท์จนทำให้ไม่สนใจหรือมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ ขาดความเป็น Human Contact ไม่มีการแสดงความรัก ความอบอุ่นจากการกอด  ทำให้ไม่สนใจความรู้สึกนึกคิดของคนในครอบครัว ”

คำแนะนำสำหรับเด็กๆที่จะเข้าทำงานในวงการ

“เรื่องของการวางตัวสำคัญที่สุดครับ เด็กสมัยนี้จะไม่ค่อยฟังผู้ใหญ่ เด็กๆอาจจะมองว่าวิธีการของผู้ใหญ่ล้าหลัง โบราณ ถ้าคุณไม่ทันเทคโนโลยี คุณจะล้าหลังและโบราณ นั่นคือความคิดของเด็กยุคนี้ ตรงนี้เป็นการตัดสินแบบแง่ลบ เราต้องคิดว่าคนที่จะแคสติ้งเราเข้ามาทำงาน คนที่จะผลักดันให้เราก้าวหน้าในวงการ ตรงนั้นคือ ผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นต้องฉลาดพอที่จะเล่นเกมส์กับเค้าไปด้วย ต้องฟังเค้าก่อน เพื่อจะได้ความรู้หรือประสบการณ์ในสิ่งที่ทำเป็นมืออาชีพ อย่าลืมว่าเค้าอยู่ตรงนี้มานานแล้ว ถึงแม้อาจจะหัวโบราณไปบ้าง ก็ปล่อยผ่านไป อย่าหัวแข็งใส่ หน้าที่ของเราคือ รับฟัง ทำตาม แล้วทำให้ดี แล้วค่อยๆปรับตาแนวทางของตัวเอง เค้าแนะนำมาแบบนี้ แต่เราสามารถคิดนอกกรอบ โดยที่ไม่ลืมว่าสังคมเรามีกรอบของมันอยู่ การคิดนอกกรอบตามโจทย์ที่มีอยู่ เพื่อเป็นการสร้างความแตกต่าง และสร้างคาแรกเตอร์ให้กับตัวเอง”

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here