“ไอริณ ดำรงมงคลกุล” เปิดประสบการณ์ชีวิต งาน การเรียนรู้สิ่งใหม่ และการเดินทางที่ไม่สิ้นสุด นิยามของ ชีวิตที่ไม่กลัวกับคำว่า เปลี่ยนแปลง ชีวิตเลยเปลี่ยนเยอะตลอด เพราะรู้ว่าทุกการเปลี่ยนแปลง คือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และชีวิต ก็คือ การเดินทาง และยังคงเดินทางอยู่ต่อไป…The Good News มีโอกาสพูดคุยกับสาวสวยมากความสามารถ “ไอริณ ดำรงมงคลกุล หรือ ป๋อง” อดีตผู้ประกาศสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 และช่องนิวทีวี ถึงแง่มุมการใช้ชีวิตและการทำงานว่า เริ่มทำงานข่าวจากการจุดประกายของพ่อที่ชอบดู จักรพันธ์ ยมจินดา กับ ศันสนีย์ นาคพงศ์ อ่านข่าว มีวันนึงพ่อนั่งดูทีวีอยู่แล้ว ป๋องกลับจากโรงเรียน พ่อบอกว่าป๋องนั่งอ่านข่าวแบบนี้ได้ทำอาชีพนี้ได้ แต่สำหรับตัวเราคิดว่ามันไกลนะความฝันแบบนั้น เพราะเป็นคนอุดรเป็นเด็กบ้านนอกก็คิดว่าคงทำไม่ได้
แต่คำพูดของพ่อวันนั้นมันฝังอยู่ในใจตลอดโดยที่เราไม่รู้ตัว จนกระทั่งเอ็นทรานซ์ติดคณะ Microbiology สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี คณะที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เรียน Food Science สาขานี้พอจบมาต้องเข้าอยู่ในโรงงาน แต่เมื่อเราไปฝึกงานแล้วเราไม่ชอบ รู้สึกได้เลยว่าไม่ชอบงานที่อยู่ในห้อง Lab วิจัยไม่ชอบมาก ๆ ก็เลยไม่สมัครงานเลย แต่ช่วงนั้นก่อนที่จะเรียนจบก็ได้ไปทำงานพิเศษ แนะนำสินค้าด้านเทคโนโลยีมาเปิดบูธเป็น festival แล้วป๋องก็ไปสมัครเป็นคนแนะนำสินค้าหรือ MC บรรยายสินค้า เขารับแต่นักศึกษามหาวิทยาลัย เพื่อไปแนะนำสินค้าและต้องรู้จักเทคโนโลยี เพราะต้องไปฟังบรีฟจากวิศวกรชาวญี่ปุ่นแล้วพอเราได้ไปทำปุ๊บก็รู้สึกสนุกกับการที่ได้ถือไมล์(ยิ้มเสียงสดใส)
ในการให้ความรู้แล้วเราจับคนดูอยู่ จากนั้นก็เลยต่อเนื่องงานด้านนี้มาตลอด เมื่อได้เข้าไปอยู่ในสายงานที่ได้จับไมล์แล้วสะกดคนดู พอเรียนจบปุ๊บแล้วป๋องก็รู้สึกว่างานแบบนี้มันดีไม่ต้องเข้าไปอยู่ในห้อง Lab ที่ไม่รู้จักใครวันๆได้แต่ก้มหน้าทำงาน แต่งานนี้ ได้เจอผู้คนเยอะแยะ เราก็เลยรู้สึกชอบได้อยู่ต่อหน้าผู้คนและเงินดีมาก ๆ สมัยนั้น ปี 2537 เรายังเด็กอยู่ได้เงินวันละ 1,500 – 3,000 บาท เราก็รู้สึกดีใจ
พ่อเสียก็เหมือนฝันล่มสลาย แต่สานฝันได้เป็นผู้ประกาศ ครั้งแรกอ่านข่าวตัวสั่นมือสั่น
หลังจากที่เรียนจบมา ช่องเคเบิลทีวีรับสมัครผู้ประกาศข่าวและวีเจ เราก็ลองไปสมัครดูทั้งที่ไม่รู้จักใครเลย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ได้ยินเขาโฆษณาทางวิทยุ ไปสมัครก็รู้สึกประหม่ามากๆ เป็นครั้งแรกที่เห็นห้องส่งเห็นกล้องทีวีเห็นตัวเอง เลยนึกขึ้นได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่ป๊าเคยพูดว่าเราทำแบบนี้ได้ ก็เลยไปสมัครวันนั้นประกาศรู้ผลวันนั้นก็ได้ จึงไปเป็นผู้ประกาศข่าวของช่องเคเบิลทีวี 6 เดือน หลังจากนั้น ช่อง 5 ประกาศรับสมัครผู้ประกาศข่าวภาคค่ำ 2 คน จากผู้สมัคร 2,000 กว่าคน แต่เขารับ 6 คน ต้องสอบทั้งข้อเขียน แนะนำตัวและอยู่ในจอทีวีจริง อ่านข่าวจริง มีคณะกรรมการสัมภาษณ์ พอจะถึงขั้นตอนสุดท้าย ต้องแนะนำตัวล้อมวงกับผู้ใหญ่ โดยมีทีวีถ่ายเราไปด้วย พ่อก็เสียพอดีก่อนที่จะถึงรอบนี้ 3 วัน ป๋องกะว่าจะ surprise พ่อโดยที่ไม่ได้แจ้งเพราะล่วงหน้า
พอพ่อเสียก็เหมือนฝันล่มสลาย กะว่าจะไม่ไปสอบเพราะอยู่งานกงเต็กพ่อ แต่ก็เล่าให้ญาติๆฟังก็บอกว่าให้ไปสานฝันพ่อต่อ ป๋องก็เลยออกมาจากงานศพทั้งที่ยังไม่ได้ร่วมงานเผาโดยมาสอบสุดท้ายก็ได้ สรุปว่าได้ที่ 2 ห่างจากคนที่ 1 เพียง 1 คะแนนก็เลยได้อ่านข่าวภาคค่ำครั้งแรก อ่านคู่กับนายแพทย์ยงยุทธ มัยลาภ และคุณทวินันท์ คงคราญ ความรู้สึกครั้งแรกที่ได้อ่านข่าว โอโห!!! ตัวสั่นมือสั่นมาก ๆ ไม่รู้ว่าความฝันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง! เหงื่อแตก แต่ก็สู้ก็กลายเป็นผู้ประกาศข่าวหน้าใหม่ อ่านข่าวภาคค่ำตั้งแต่ปี 2537 และได้ทำข่าวด้วยทุกสายงานข่าว ต้องทำสกูปพิเศษ เขียนบทเอง กำกับเอง เป็นพรีเซนเตอร์เอง กลับมาตัดต่อเองด้วย และยังได้จัดวิทยุของช่อง 5 มีสถานีเครือข่ายจำนวนมาก ช่วงนั้นชีวิตได้เดินทางไปต่างประเทศค่อนข้างบ่อย ขอลาไปเองเพราะมีพี่สาวอยู่ที่เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา จากนั้นก็มาเป็นผู้ประกาศนิวทีวี 18 สองปีทำงานข่าวไปได้ 20 ปีก็มานั่งนึกว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราควรจะเปลี่ยนตัวเองให้มาเป็นเจ้านายตัวเองได้แล้ว รู้สึกอยากเป็นอิสระจากงานประจำ ก็เลยตั้งบริษัทเอง ชื่อ ทีมมีเดีย ทำงานอีเวนท์ ถ่ายทอดสด ทำรายการซีเอสอาร์ของแต่ละองค์กร และมาซื้อเวลาของช่อง 5 อยู่ตรงนี้ประมาณ 3-4 ปีระหว่างทำบริษัทของตัวเองก็ทำงานที่นิวทีวีด้วย
จุดเปลี่ยนตัดสินใจเบนเข็มเรียนเมืองนอก
แล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยนอีกจุด หนึ่งก็คือว่าเรารู้สึกว่าในกรุงเทพฯรถติดหนักมากๆประมาณปี 2558 คิดว่าชีวิตหนึ่งน่าจะใช้ให้คุ้มฝันของเราอีกฝันหนึ่งคือการใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก แล้วชอบมาก คือ นิวยอร์ก รู้สึกว่าไลฟสไตล์ตอบโจทย์เรามากๆเลย เพราะพี่สาวเราอยู่ และเป็นเมืองที่มีความสนุกในทุกมุม แต่พอตัดสินใจว่าจะต้องไปเรียนเมืองนอก นอกจากนิวยอร์กเราคิดว่ายังมีประเทศอื่นที่ควรจะไปเผชิญมันด้วยตัวเอง ก็เลยหาข้อมูลดูว่าประเทศไหนที่เค้าต้อนรับนักศึกษาและเป็นเมืองที่ใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเองคนเดียว ก็มีคนแนะนำว่าให้ไปกรุงเมลเบิร์นประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับรางวัลน่าอยู่แห่งหนึ่งของโลก 3 ปีซ้อน ตัดสินใจไปเรียน การเข้าออสเตรเลียค่อนข้างยากจะไปแบบนักท่องเที่ยวไม่ได้ ก็เลยไปแบบนักศึกษาและไปเรียนจริงๆ โดยที่ยังไม่รู้ว่ายังจะไปพักอาศัยอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่ามีที่เรียนแล้ว มันคือความท้าทายของชีวิตเรา
“เราเป็นคนสองแบบที่เหมือนกับสุดโต่ง มุมหนึ่งชอบอยู่กับธรรมชาติรักธรรมชาติมาก ถ้าให้อยู่บ้านนอกก็อยู่ได้ แต่ถ้าให้ออกงานก็สามารถเปรี้ยวสุดๆได้ และคิดแปลก ไม่ได้คิดว่าที่ไหนเซฟตี้ไปอยู่แล้วอุ่นใจหรือมีคนรองรับแล้ว แต่คิดว่าไปบุกเปิดดีกว่าอยากไปอยากรู้ว่าเมืองนี้ ได้ตำแหน่งนี้มายังไงต้องพิสูจน์ได้รู้ว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ เชื่อว่าเราไปอยู่ที่ไหนมันจะมีหนทางจะไม่ตัน คิดแค่นี้แล้วก็บินไปเลย จริงๆเป็นคนที่ไม่กลัวกับคำว่าเปลี่ยนแปลง และเป็นคนที่ชอบคำว่าไปอยู่ที่ไหนก็ได้ในโลก จะพิสูจน์ให้ดูเป็นคนที่ชอบท้าทายตัวเอง”
ทำธุรกิจพร็อพเพอร์ตี้ โดนโกงเพราะเชื่อใจคนมากเกินไป
อยู่เมลเบิร์นได้ปีเดียวก็กลับมาเมืองไทย มีธุระที่จังหวัดน่าน ก่อนไปเราซื้อที่ดินทิ้งไว้มีเพื่อนสนิทที่นั่น และเจอแฟนขลับชวนเราลงทุนทำธุรกิจพร็อพเพอร์ตี้ ซื้อที่ดินและสร้างบ้านขาย เราก็ร่วมทำด้วยสุดท้ายก็มาพัวพันทำธุรกิจที่ จ.น่าน หนึ่งปีสร้างบ้านไป 2 หลังแล้วก็ซื้อที่ดินไปเรื่อยๆ ตั้งใจว่าจะทำแบบคลัสเตอร์ 8 แปดหลัง ถึงเวลาทดลองขายก็ช่วยกันขาย เราซื้อที่เป็นส่วนตัวไม่ได้ซื้อแบบลงทุน และตั้งใจจะเปิดคาเฟ่ เป็นบาร์เล็กๆเท่ห์ๆสไตล์นิวยอร์ก
ระหว่างที่รอขายก็เลยไปเยี่ยมพี่สาวที่นิวยอร์ก ตั้งใจว่าจะไปเรียนบาร์เทนเดอร์ด้วย ก่อนจะไปก็ทำสัญญากับหุ้นส่วน 2 คน ถ้าขายได้จะกลับมาเซ็นสัญญาขาย ไม่ต้องห่วงบินกลับมาได้ แต่เขาก็โกงเปลี่ยนเอกสารจนในที่สุดบ้านก็เป็นของเขา ทุกสิ่งอย่างเป็นของเขาหมดโดยไม่มีเราอยู่ในนั้นโดยที่เราไม่รู้ อยู่ที่นิวยอร์กได้ประมาณเดือนเดียวก็เริ่มรู้สึกผิดสังเกต เขาค้างเงินเราเป็น 1,000,000 บาท เราก็ทวงเงินแล้วเขาก็เริ่มไม่ตอบ เหมือนไม่มีเราอยู่ในโลกนี้ก็รู้สึกแปลกๆ เลยให้น้องไปดูว่าเอกสารที่ดินยังเป็นชื่อของเราหรือไม่ สุดท้ายไม่ใช่ชื่อของเราหมดเลยก็โดนโกงไปหมด
ตัดสินใจสู้คดี ยอมรับ ใจแตกสลายเพราะไว้ใจมากไป แต่จำไว้เป็นบทเรียนปรับปรุงตัวเอง
เลยตัดสินใจกลับมาสู้คดี ในระหว่างสู้คดีเราก็รู้สึกว่ามันมีความเสียใจเพราะเรารักเขาแล้วไว้วางใจ เหมือนกับคนที่ใจแตกสลายจากการไว้วางใจ ประมาณ 2 ปีที่สู้กันทางจิตวิทยาด้วย ครบสองปีพอเราชนะคดีบ้านหลุดออกมาพร้อมขายโควิดมาพอดี เขาไม่เคยคิดว่าเขาผิด เขาเล่นโซเชียลและทำให้คนใน จ.น่านเข้าใจเราผิดว่าโกงเขามันกลายเป็นโลกกลับตาลปัดกับสิ่งที่เขาทำ
“แต่เราคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดมันก็คงต้องเกิด ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความบกพร่องของเรา ที่ไว้ใจจนเกินไปเราก็ต้องหันกลับมามองว่าเราบกพร่องอะไร เขาถึงได้เจาะชีวิตเรามาได้ขนาดนี้ เขาถึงได้โกงเราได้ขนาดนี้ ถึงได้เข้าถึงเงินเราได้ขนาดนี้ แม้แต่ญาติสนิทมิตรสหายยังเข้าไม่ถึงเราขนาดนี้เลย นั่นคือจุดอ่อนของเราที่เราจะต้องปรับปรุงจากบทเรียนนี้ ขณะที่เขาไม่คิดว่าเขาผิด แต่คิดว่าเราเปิดช่องว่างเองมากกว่า เพราะฉะนั้นต้องเอาตัวเองห่างจากคนพวกนี้เราต้องศึกษาคนให้มากขึ้น”
ระหว่างการสู้คดีก็มีบทเรียนเยอะแยะ แล้วคอนเน็คชั่นที่เรามีอย่าคิดว่าเป็นอาวุธที่จะทำให้คนไม่กล้าจะโกงเรา แม้ว่าจะเป็นผู้ประกาศข่าว เคยทำข่าวมาแล้ว คนรอบข้างผู้หลักผู้ใหญ่เป็นเพื่อนเป็นพี่ แต่พอเอาเข้าจริงๆ คนเหล่านั้นไม่สามารถเข้ามาอยู่ข้างกายเราได้ เราต้องปกป้องตัวเองก่อน การแก้ไขลำบากกว่าการป้องกันและมีบทเรียนมาแล้ว วันที่ไปยืนอยู่หน้าศาลก็เป็นประสบการณ์ชีวิต ที่ไม่คิดว่าอยากจะได้อีกเลย คือการไปยืนอยู่หน้าบัลลังก์ถึงแม้ว่าเราเป็นฝ่ายโจทก์
“เขาเป็นจำเลยเราก็สามารถร้องไห้หน้าบัลลังก์ได้ เพราะเราไม่มีใครใน จ.น่านเลยคนเดียวจริงๆ แล้วข้างหลังที่เป็นผู้ที่เข้ามาเป็นคนนั่งฟังก็ครอบครัวเขาทั้งหมด ไม่น่าเชื่อว่าบรรยากาศในศาลกดดันเรา รู้สึกว่าเราตัวเล็กเราสู้อะไรไม่ได้ทั้งที่เป็นโจทย์ เขาตะโกนเสียงดังกลบศาล ว่าผู้หญิงคนนี้มันเลวร้ายก็ไม่รู้ว่าพูดออกมาได้ยังไง ขณะที่เราต้องตั้งสติอย่างมากที่จะไม่เพลี่ยงพล้ำ ความจริงวันนั้นผู้พิพากษาจะเอียงไปทางจำเลย แต่คำเดียวที่เราพูดออกมาแล้วศาลหยุดคือ เรามาน่านด้วยหัวใจที่รักน่านมากบริสุทธิ์ที่สุด แล้วยังมาเจอแบบนี้ ศาลก็เลยบอกกับพวกเขาว่า พวกคุณยังจะเอาอะไรจากเขาอีกหรือ”
เรานำความรู้ประสบการณ์ทั้งหมด Branding Project ให้ The Height Khaoyai แต่ไม่ทิ้งความฝัน ทำคาเฟ่ที่ จ.น่าน
ไอริณ เล่าว่า ปัจจุบันมาทำ Branding Project ให้กับ The Height Khaoyai (เดอะไฮทเขาใหญ่) ในตำแหน่งผู้จัดการและสร้างแบรนด์ เป็น Public PR เช่น สร้างเพจ เว็บไซต์ ไอจี TikTok ที่เป็นโซเชียลมีเดียและคอนเทนท์ทั้งหมดโปรเจคนี้ 4 เดือน ให้กับพี่ที่นับถือมากๆรักใคร่กลมเกลียว และมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โดยเปลี่ยนบ้านเนื้อที่ 8 ไร่ ตั้งอยู่บนเนินเขาติดกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มาเป็นโรงแรมขนาด 4 ดาว มี 11 ห้อง มีทั้งหมด 5 โซน ราคาห้องพักอยู่ที่ระหว่าง 4,500 – 5,500 บาท และมีรถบ้าน 4 คันไว้รองรับลูกค้าระดับกลางถึงบน ราคา 2,800 บาท/คืน (วันธรรมดาคิด 2,500 บาท)
มีลักษณะที่โดดเด่นคืออยู่ในหุบเขา อยู่ใกล้กรุงเทพแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ไกลจากผู้คน จากความวุ่นวายทั้งหมดแล้วอยู่ชิดเขาใหญ่ ใกล้แม้กระทั่งสัตว์ป่าที่มาหากินอยู่ในละแวกนี้ มีความอุดมสมบูรณ์สูงมาก เป็นรีสอร์ทที่เข้ากับธรรมชาติและสัตว์ป่า ที่เห็นบ่อยคือกวาง
“รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้มาทำ Branding Project นี้ เรานำความรู้ประสบการณ์ที่มีมาลงที่รีสอร์ทนี้ทั้งหมด มาแต่งเติมอาคารภายในดีไซน์จุดต่างๆให้มีสีสัน ถ้าเสร็จโปรเจคตรงนี้เราจะไปต่อโปรเจคตัวเอง คือ ทำคาเฟ่อย่างที่หวังไว้ที่ จ.น่าน อยากมีธุรกิจตัวเอง อยู่อย่างสงบในพื้นที่ของเรา ใช้ชีวิตรายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่สวยงามและธรรมชาติที่มีวัฒนธรรมซึ่งน่านตอบโจทย์ แต่ยังมีคนมาหาได้ตลอด แล้วก็เดินทางท่องเที่ยว สำหรับความฝันสำหรับการใช้ชีวิตของตัวเองเลยก็คือฝันอยากจะมีบ้าน 2 หลัง คือ อยู่ที่ทั้งเมืองไทยและอีกหลังในต่างประเทศที่สวยสวยแล้วเราอยู่ได้อย่างสนุกอันนี้คือความฝัน