เบื้องหลังหลากหลายนักแสดงแนวหน้า ภายใต้การบริหารของผู้จัดการศิลปิน อย่าง “ ปิ๊ก ฌาณฉลาด”สำหรับหลายๆคน ที่อยากเข้าทำงานและโลดแล่นเป็นดารา นักแสดงในวงการบันเทิง กับประสบการณ์ปั้นดาว…ของ “ ปิ๊ก ฌาณฉลาด ทวีทรัพย์”ผู้จัดการศิลปิน 2 ยุค ที่จะมาชี้แนวทาง สร้างแรงบันดาลใจ ตลอดจนข้อพีงระวัง เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเดินทางบนถนนสายนี้ ให้ประสบผลสำเร็จ…
จุดเริ่มต้น
เริ่มจากการที่ตัวเราก่อนครับ ได้เข้ามาถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา เลยมีพี่ๆชวนทำงาน เราเป็นคนชอบถ่ายรูป เลยได้ถ่ายภาพนายแบบนางแบบ จนมารู้จักน้องนายแบบท่านหนึ่ง แล้วได้มาเป็นนักแสดง ซึ่งก็คือ คุณจ๊อบ นิธิ สมุทรโคจร จนมาชวนเราให้ช่วยดูแล ตอนนั้นทั้งเราและจ๊อบก็ไม่มีประสบการณ์ด้วยกันทั้งคู่ มาพูดคุยกันว่าเราจะเริ่มต้นกันตรงไหนดี ตอนแรกเราปฏิเสธ ด้วยความที่อยู่แวดวงโฆษณา และมองว่าความเป็นดารามันใหญ่มากสำหรับเราในวงการ คิดว่ามันซับซ้อน ไม่ใช่เรื่องง่าย และไกลตัวมาก ซึ่งจ๊อบก็คุยอยู่เป็นเดือน เราคิดว่าการเป็นผู้จัดการมันต้องมี connection ค่อนข้างมาก พยายามแจกแจง แล้วเราก็ไม่ได้รู้จักใครเลย ยอมรับว่าช่วงแรกใช้ไม่ได้เลย เพราะมันแค่รับโทรศัพท์เรื่องคิวอย่างเดียว จนมาเริ่มเปลี่ยนแปลงมากขึ้น เมื่อมีคนที่ 2 ที่ 3 เข้ามาอย่างรวิชญ์ เทิดวงส์, ดอน ธีระธาดา ซึ่งกลายเป็นกระแสในช่วงนั้น ตามมาด้วย ดอม เหตระกูล, วิกกี้ สุนิสา เจทท์ ซึ่งเรียกว่าช่วงนี้ถือเป็นผู้จัดการดาราจริงๆ เรื่อง connection ที่เราได้จากตอนดูแล จ๊อบ นิธิ จากที่เราจดบันทึกไว้ อย่างเช่น การยืมเครื่องแต่งกาย ต้องติดต่อกับใคร เรื่องนี้ต้องติดต่อที่ไหน นำมาปรับใช้ในช่วงนี้
การทำงานในฐานะผู้จัดการศิลปิน 2 ยุค
สำหรับการทำงานในสายอาชีพนี้ เราขอแบ่งเป็น 2 พาร์ท พาร์ทแรก คือช่วงก่อนปี 2000 ช่วงนั้นมันก็จะแบบไม่ได้หวือหวามาก ถามว่าสนุกมั้ยเมื่อเทียบกับ พาร์ทหลังที่เราได้มาดูแล เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข ต้องบอกว่าพาร์ทหลังนี้สนุกกว่า ตรงเรื่องของการโปรโมท โซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาท แล้วทุกส่วนเห็นความสำคัญของการสร้างภาพลักษณ์ อย่างแบรนด์เสื้อผ้าก็จะมีติดต่อเข้ามา แทนที่เราจะต้องวิ่งเข้าไปดีลเอง เรียกว่าการทำงานง่ายขึ้น รวมถึงเรื่องงานถ่ายแบบ ถ่ายแฟชั่น จะเชื่อมโยงไปหมด ซึ่งเมื่อเทียบกับพาร์ทก่อนมันยากกว่า ค่าตอบแทนพาร์ทปัจจุบันก็จะสูงกว่า ถามถึงเสน่ห์ของการทำงานตรงนี้ มันได้ตรงความเป็น Traffic คอยที่จะอำนวยความสะดวกในการทำงานให้กับศิลปินนักแสดง มันทำให้เรามีความหมายเมื่อการจัดการมันลงตัว ราบรื่น และงานประสบผลสำเร็จ ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งแรกที่คนจะเข้ามาทำงานตรงนี้ควรจะมอง อย่างสมัยก่อนในเรื่องของการเดินทาง ยังไม่มีรถไฟฟ้า เราต้องมาลุ้นทั้งวันเวลามีงานซ้อน 2 งาน ต้องพึ่งมอเตอร์ไซด์บ้าง เรือด่วนบ้าง แต่สมัยนี้มันสะดวกสบายในระบบขนส่ง สามารถรับงานในโซนเดียวกันด้วยระยะเวลาห่างกันแค่ 1ชม. หรือครึ่งชั่วโมง ถ้าอยู่ในห้างสรรพสินค้าเดียวกัน มันสนุกตรงนี้ที่เราสามารถบริหารจัดการรับงานได้หลายๆงานภายในวันเดียว อย่างตอนที่ทำกับเจมส์ จิรายุ เป็นงานถ่ายแฟชั่น 4 ฉบับ แล้วก็มีงานเปิดตัวสินค้าที่ห้างแถวราชประสงค์ในวันเดียวกัน เป็น Big Event ที่คนมาเยอะมาก ซึ่งเราไม่ได้คาดคิดมาก่อน เรามานั่งนึกว่ารับงานไปได้ยังไง อย่างงานแฟชั่น ไม่ใช่แค่การใส่เสื้อผ้าถ่ายแบบอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนลุค การให้สัมภาษณ์รวมอยู่ในงานด้วย เราก็จะต้องทำการบ้านให้กับนักแสดงในสังกัด ว่าบทสัมภาษณ์ไหนสมควรอยู่กลุ่มเป้าหมายไหน ซึ่งมันสนุกตรงที่เราจะใช้เวลาบรีฟกันระหว่างทาง เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน รวมถึงโดนใจแฟนๆแต่ละกลุ่มที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์ด้วย
ถามว่าเคยนับมั้ย ไม่เคยนับนะครับ แต่จำได้ทุกคน ไม่เฉพาะแต่นักแสดงเท่านั้น ยังมีนักกีฬา ผู้ประกาศข่าวด้วย ก็จะประมาณนึงแต่ไม่ถึงร้อยครับ เคยพยายามถามตัวเองว่าการสร้างนักแสดง คืออะไร เลยสรุปด้วยคำจำกัดความที่ว่า การสร้างความทรงจำ ความทรงจำในการได้เสพผลงานของเค้า เวลาเค้าทำงานแต่ละชิ้นออกมาให้ได้เห็น เหมือนว่าเราเป็นแฟนคลับกลายๆ ได้เห็นวิวัฒนาการของเค้า จากถามคำตอบคำ หรือตอบไม่ได้เลยเวลาอยู่หน้า Backdrop เหมือนเป็นการ Update งานเทียบกันตั้งแต่สมัยที่เราดู ดอน ธีระดา ดู วิกกี้ กับตอนมาดูเจมส์ จิรายุ เราก็ปรับตามยุคสมัย จนมาตอนนี้ กองทัพ พีค ลูกชายของ ปราบ ยุทธพิชัย เราก็ Update มากขึ้นไปอีก เหมือนเราสะสมประสบการณ์มาเรื่อยๆ ซึ่งก็คือความทรงจำนั่นเอง ถ้าให้มาไล่ชื่อให้ครบ มันไล่ไม่หมด แต่ถ้าเอารูปมาวาง เราสามารถแจงรายละเอียดของแต่ละคนได้เลย อย่าง วุ้นเส้น วิริฒิพา ภักดีประสงค์ เจอตอนแรกโดยบังเอิญ ยังเด็กมาก ในงานๆนึงที่เราไปถ่ายรูปในงานพอดี ก็พาไปถ่ายโฆษณา โคโลญจน์แบรนด์นึง ค่าตัวตอนนั้นถือว่าเยอะมาก อะไรประมาณนี้ถือว่าเป็นความทรงจำทั้งหมดที่อยู่ในตัวเรา
จริงๆทุกคนต้องมองที่หน้าตาก่อนเป็นอันดับแรก เรื่องของความสูง ขอให้สูงไว้ก่อน หน้าตาดูแล้วไม่น่าจะยากที่คนจะเปิดรับเค้าได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่กฏเกณฑ์ตายตัวเพราะมาตรฐานบางคนอาจจะเหมาะอาชีพอื่นๆในวงการที่ไม่ใช่นักแสดง เกณฑ์ข้อต่อมาคือ เรื่องของเสียง หลังจากที่เราได้คุยกันแล้ว เสียงแบบนี้นะที่จะเป็นพระเอก แบบนี้นะที่จะเป็นนางเอก อย่างบางคนเป็นผู้ชายเสียงสูงจังเลย หรือเสียงแตกแบบไม่รวมกัน เสียงไม่แข็งแรง ก็เป็นปัจจัยนึงในการเลือกด้วย นอกจากนั้นก็จะเป็นเรื่องของความสามารถ บางคนมีช่องทางในการนำเสนอเยอะมาก ไม่ได้จบแค่ในหน้าจอทีวี แต่ยังมีออนไลน์ ใน Youtube สารพัดอย่าง ซึ่งมันควรจะ Multi Talent มีความ Creative
การพัฒนาศิลปินนักแสดง
หลังจากที่เราเห็นแววที่สามารถจะเข้ามาทำงานตรงนี้ ในความเป็นผู้จัดการศิลปิน ก็จะต้องเสริมในเรื่องขององค์ความรู้ของคนที่จะมาประกอบอาชีพบนเส้นทางนี้ ตอบโจทย์ให้ได้ว่าการทำงานตรงนี้ต้องการหรือหาคนแบบไหน ก็ควรที่จะได้พูดคุยกันหรือ Motivate กลายๆ พร้อมกับแนะนำว่ามีความรู้แบบไหนบ้างที่เป็นพื้นฐานที่ควรจะมี เพื่อใช้ในการ Audition บางคนหน้าตาธรรมดา แต่มีมุมมองที่น่าสนใจ ซึ่งเราสามารถนำไปต่อยอดได้กับงานตรงนี้จริงๆ ที่ผ่านมาเราเคยอยู่กับคนที่มีภาพลักษณ์สำหรับงานตรงนี้ แต่ไม่ได้มีความสนใจ สุดท้ายก็พัง ไปต่อไม่ได้ คือไม่ได้ทำเป็นศิลปะ แต่ทำเพราะด้วยค่าตอบแทน เหมือนขอให้จบๆไป มันก็จะไม่ได้ตรงเรื่องของพัฒนาการ ในทางกลับกัน ถ้าเข้ามาด้วยใจรักในศิลปะการแสดง เราก็สามารถที่จะพาไปสู่ความสำเร็จได้ สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ การที่ถูกเลือกมาให้ทำงานตรงนี้ ไม่ใช่เพราะคุณหน้าตาดี คุณต้องมองให้ลึกไปกว่านั้นว่า เค้าสามารถพัฒนาได้จริงๆ รวมถึงเรื่องของโชคชะตาของแต่ละคนด้วย ไม่จำเป็นที่จะดัง หรือมีชื่อเสียงได้ทุกคน
การจัดการปัญหาในการทำงาน
เมื่อเวลาผ่านไป เราควรจะมองการทำงานตรงนี้ว่า มันไม่ควรเป็นงานที่เราอยากให้เค้าเป็นหรือเห็นเค้าเป็น แต่มันควรเป็นผลงานที่เกิดจากความเต็มใจที่อยากจะทำมัน ปัญหามันจะไม่เกิด แต่เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ เกิดปัญหาจริงๆ เราก็ต้องคุย ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นคำแนะนำของเราจะต้องมีมุมเดียวกับเค้า อย่างบางคนมาสาย ไม่เคารพคนอื่น เราก็ต้องถามถึงสาเหตุ ถ้าอย่างสาเหตุไม่สมควร เราก็ต้องให้ทีมงานสร้างตัวหลอกมากขึ้น อย่างคนที่สาย ถ้านัดเวลา 6 โมงเช้า ก็อาจะต้องนัดเผื่อเป็น ตี 5 ถามว่าเราหลอกเค้ามั้ย กลับกันเราสามารถทำให้เค้าสามารถทำงานกับตรงนี้ได้ ให้งานยังคงอยู่กับเค้าต่อไป เราต้องมีการอธิบาย ซึ่งจริงๆปัญหามันยังมีเรื่องอื่นๆด้วย เช่น เรื่องการบริหารจัดการเวลาเรื่องเรียน เรื่องส่วนตัว ปัญหาในครอบครัว เราก็ต้องพยายามแชร์เรื่องราวให้เค้าฟัง ชี้วิกฤตให้เค้าเห็นเป็นโอกาส ชี้ให้เห็นแนวทางในการแก้ปัญหา ให้มองเห็นว่าควรจะภูมิใจ ในการได้ทำงานอยู่ตรงนี้ การเข้าถึงบทบาทแล้วมีคนรัก มีคนติดตาม ในแต่ละเรื่อง ถือว่าคุณก็โชคดีแล้ว แต่ถ้าเกิดว่าคุณจะดัง มีชื่อเสียง ตรงนี้มันเกินกว่าที่เราจะรับมือได้
คำแนะนำสำหรับคนที่จะก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง
จริงๆสิ่งที่อยากจะบอกสำหรับน้องๆวัยรุ่นทั่วไป อาชีพนักแสดงไม่ใช่อาชีพเดียวที่จะทำให้ได้การยอมรับ การเป็นหมอ เป็นครู หรืออาชีพอื่นๆ ทุกคนได้รับการยอมรับทั้งหมด มีหลายคนที่ทะเยอทะยานจะมาอยู่ตรงนี้ แต่อย่าลืมว่ามันก็มีคนที่มีคุณสมบัติเหมาะกับที่จะเป็นนักแสดง ฉะนั้นคนที่อยู่ในข่ายที่จะถูกเลือก คุณต้องมีความพร้อม เบื้องต้นคุณจะต้องให้คนอื่นเห็นว่าคุณมีความสามารถที่จะ Entertain ได้ ควรมีพื้นฐานในการร้องเพลง เล่นดนตรี การเต้น หรือแม้แต่การแสดงเองที่ควรจะมีความรู้มาบ้าง อย่างบางคนหุ่นสูงดีมาก แต่ไม่สามารถที่จะจัดระเบียบร่างกายให้เหมาะสมเวลาเดิน จึงควรที่จะต้องรู้จัก Balance ตัวเอง เพื่อให้น่ามอง เพราะอย่าลืมว่าเรากำลังมองหาคนที่มีเสน่ห์ ในความหน้าตาดีของคุณ ความมีเสน่ห์มันสำคัญมาก บางทีเราต้องการหาใครสักคนที่แบบหันมาพูดคุย แล้วแค่รอยยิ้ม ก็สร้างความประทับใจได้ ที่สำคัญมากคือ เรื่องวัฒนธรรมองค์กร การเคารพรุ่นพี่ ผู้หลักผู้ใหญ่ การตรงต่อเวลา การรู้จักหน้าที่ และมารยาทในสังคม
ข้อควรระวังสำหรับโมเดลลิ่งหลอกลวง
พูดถึงยุคนี้ การเข้าถึงสื่อออนไลน์ อินเทอร์เน็ต มันน่าจะดึงมาใช้ประโยชน์ในเรื่องนี้ ถ้าได้ชื่อบุคคล หรือโมเดลลิ่ง เบื้องต้นเราสามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูล ค้นหาจากสื่อเหล่านี้ได้ก่อน หรือจะสอบถามจากผู้ใหญ่ บุคคลที่รู้จัก ถามหาตัวตนว่ามีจริงๆหรือไม่ รวมถึงการปรึกษาผู้ปกครอง การสร้างผลงานภายในสายตาของผู้ใหญ่ ให้ผู้ใหญ่ได้รับทราบหรือเห็นในสิ่งที่เราทำ ทุกวงการที่มีเรื่องดีๆ ก็มักจะมีสิ่งไม่ดีสอดแทรกอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นในความเป็นจริง ต้องคิดเสมอว่า อย่าอยากเข้ามาทำงานบนเส้นทางนี้อย่างเดียว จนลืมคิดว่าต้องปกป้องตนเองอย่างไร ตรงนี้เป็นภัยในตัว ตามตัวอย่างข่าวที่นำเสนออกไป ดังนั้นการป้องกันอย่างแรก ต้องไม่ลืมที่คุยกับผู้ปกครองให้ได้รับทราบด้วย