“ผมชอบประวัติศาสตร์บุคคล ศึกษาประวัติศาสตร์บูรพกษัตริย์ตั้งแต่สมัยราชวงศ์อู่ทองทุกพระองค์ หรือถ้าเป็นศาสนาพุทธผมไม่ได้สนใจเรื่องธรรมะ เพราะผมไม่ได้มีความเชี่ยวชาญ แต่ผมสนใจว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนในลักษณะของพุทโธโลยีลักษณะไหนอย่างไร”
ถ้าพูดถึงคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง 1 ในนั้นคงต้องมีชื่อ “คุณภูมิสรรค์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา หรือ โปลิศ” อยู่ด้วย เพราะเมื่อพูดถึงภารกิจงานต่างๆของ ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ , รมช.กระทรวงศึกษาธิการ , อดีต รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะสังเกตเห็นคุณโปลิศที่เปรียบเป็นมือขวาทำงานใกล้ชิดคุณหญิงกัลยาเกือบ 20 ปี และได้รับความไว้วางใจตามติดลงพื้นที่ ช่วยเหลืองานด้านต่างๆด้วยทุกครั้ง ซึ่งล่าสุดได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาและประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์ และนโยบาย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช, ประธานการประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และนโยบาย สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ
The Good News Asia มีโอกาสได้พูดคุยกับ “คุณโปลิศ” ถึงมุมมอง วิธีคิดและการดำเนินชีวิตตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบัน
ชอบและศึกษาประวัติศาสตร์บูรพกษัตริย์-บุคคล เพราะถือเป็นครูในการดำเนินชีวิต
ผมชอบประวัติศาสตร์บุคคล ศึกษาประวัติศาสตร์บูรพกษัตริย์ มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์อู่ทองทุกพระองค์ หรือถ้าเป็นศาสนาพุทธผมไม่ได้สนใจเรื่องธรรมะ เพราะผมไม่ได้มีความเชี่ยวชาญ แต่ผมสนใจว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนในลักษณะของพุทโธโลยีลักษณะไหนอย่างไร
หรือประวัติของท่านชวน หลีกภัย ตั้งแต่ท่านยังเล็กท่านทำอะไรบ้าง หลายสิ่งหลายอย่างก็ฟังเรื่องเล่า และดูจาก Google จากหนังสือที่ท่านแต่ง แต่ส่วนใหญ่ผมได้มีโอกาสนั่งคุยกับท่านชวน เช่น สมมุติผมยกตัวอย่างว่าท่านชวนจีบผู้หญิงครั้งแรก ท่านจีบอย่างไร หรืออาจารย์ ส.ศิวรักษ์ผมก็ชอบคุยกับท่าน ว่าท่านจีบผู้หญิงคนแรกอย่างไร อาจารย์เจ้าชู้ไหม ผมสนใจในเรื่องพงศาวดารกระซิบ ซึ่งจะมีน้อยในส่วนที่เราเจอ เพราะฉะนั้นการไปปฏิสัมพันธ์พูดคุยกับคนทุกรุ่นทุกวัยเป็นประโยชน์ หรือภารโรงที่อยู่ตามโรงเรียน ตามกระทรวงทบวงกรม หรือแม่บ้านที่พรรคประชาธิปัตย์ ผมก็ถามว่าตั้งแต่สาวๆเข้ามาทำงานเป็นยังไงบ้าง
อีกคนซึ่งชัดเจนที่สุดเป็นเรื่องของการเมืองการปกครองไทย คือคุณตาของผมเอง “เจ้าพระยารามราฆพ” ผมได้อ่านจดหมายที่รัชกาลที่ 6 กับคุณตาท่านเขียนถึงกัน ซึ่งเป็นการบอกถึงการดำเนินชีวิต ระเบียบวินัยของบุคคลเหล่านั้น แม้แต่หนังสือของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่เกี่ยวกับการเมืองเขียนถึงทุกคณะรัฐมนตรีได้เป็นอย่างดี ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมอ่านแล้วจำรูปแบบมาใช้ในการดำเนินอาชีพ ผมมองว่าทุกคนทุกสายอาชีพเป็นครู ที่สามารถหยิบมาเป็นมุมในการใช้ดำเนินชีวิตได้
อยู่กับประชาธิปัตย์ตลอด 25 ปี เพราะเป็นพรรคคู่กับสถาบันหลักของชาติ
ตั้งแต่ที่เข้าการเมืองมา 25 ปีผมก็ยังอยู่ตรงนี้ เพราะประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ก่อตั้งขึ้นโดยคุณควง อภัยวงศ์ ที่ผูกพันกับพระราชินีในรัชกาลที่ 6 ฉะนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงคู่กับสถาบันหลักของชาติมาพอสมควร ตลอดระยะเวลายาวนาน สำหรับตำแหน่งที่ผมรับผิดชอบในพรรค คณะแรกเป็นกรรมการและผู้อำนวยการ ที่ดูแลเกี่ยวกับองค์กรเครือข่ายภายนอกพรรคทุกภาคส่วน ส่วนคณะที่ 2 ผมดูแลเรื่องของตัวแทนจังหวัด สาขาพรรคและสมาชิกพรรค มีคุณนิพนธ์ บุญญามณี เป็นประธาน อีกคณะ คือ ICT ของพรรค “Smart Democrat” ซึ่ง คุณสามารถ ราชพลสิทธิ์ เป็นประธาน นอกจากนี้ผมยังอยู่ในคณะยุทธศาสตร์ภาคอีสาน ของพรรคประชาธิปัตย์ รวม 4 คณะ ส่วนในเรื่องงานการเมืองของกระทรวงศึกษา คือ ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และที่ปรึกษานโยบายยุทธศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการ ในหลักการทั้ง 2 ตำแหน่งสอดคล้องกันในปัจจุบัน
ทุกตำแหน่งที่รับผิดชอบ เป็นงานหลักไม่ใช่งานจร เหนื่อยล้าบ้างแต่ต้องจัดสรรเวลาให้ดี
ตำแหน่งที่รับผิดชอบ มีทั้งงานในพรรค ,งานของกระทรวงศึกษาธิการ , กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ , งานของมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ ,งานกีฬา ทั้งหมดนี้เป็นงานหลักไม่ใช่งานจรต้องค่อยๆขยับการบริหารจัดการเรื่อยมา 20 กว่าปี เวลาว่างมีน้อยมาก แต่ถ้าเวลาพักผ่อนจริงๆจะอยู่กับครอบครัว หรือบางทีต้องรวมไปกับเวลาที่เราไปทำงาน ก็ต้องปรับตัวให้ได้ 25 ปีที่ผ่านมาพยายามปรับตัวอย่างนี้มาตลอด บางทีมีล้าหรือเหนื่อยบ้างก็ต้องบริหารเวลาให้ดี ผมไปทำงานที่ม่อนล่องม่อนแจ่ม จ.เชียงใหม่ ในฐานะประธานคณะทำงานขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่โรงเรียน (Green School ) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อวางแนวทาง เพราะจะนำเด็กขึ้นไปทำกิจกรรม 100 กว่าคน
ตอนนี้มีเด็กรุ่นใหม่ของยุวประชาธิปัตย์ เข้ามาร่วมงานกับกระทรวงศึกษาจำนวนมาก เขาจะมีคำถามเรื่องการดำเนินชีวิตหรืออยากไปเป็นส.ส. แต่พอเข้ามาสัมผัสตรงนี้ ก็จะเห็นว่างานการเมืองมีหลากหลายหน้าที่และตำแหน่ง น้องๆเด็กรุ่นใหม่ของยุวประชาธิปัตย์ เขาต้องเข้าใจและยึดมั่นในสิ่งที่อยากจะทำ แล้วก็จัดการชีวิตตัวเองให้ได้ก่อน ถึงจะมาจัดการชีวิตในการรับใช้ชาวบ้าน เพราะฉะนั้นเด็กๆก็จะเรียนรู้วิธีการทำงานกับผม โดยที่ไม่ต้องไปสอนเขาโดยตรง
วันหยุดจริงๆเสาร์-อาทิตย์ก็มีกิจกรรมไม่กี่อย่าง อาจจะพักผ่อนไปด้วยในตัว แม้จะไม่ใช่ 100 % คือ ถ้าทำงานในสิ่งที่เราชอบหรือเรารักด้วยบวกไปกับการพักผ่อนได้ แม้ว่าเหนื่อยก็ไม่ได้รู้สึกว่าหนักอกหนักใจ ถ้าอยู่กรุงเทพฯก็จะไปรับ-ส่งลูกเรียนทุกเช้าโดยไม่ขาดเลย บางทีถ้าเสาร์-อาทิตย์ต้องทำงาน ผมอาจจะแวะไปตามโรงแรมบูติกโฮเต็ลต่างๆริมแม่น้ำเจ้าพระยาใช้เวลานั่งนิ่งๆพักผ่อนบ้าง
หลานเจ้าพระยารามราฆพ ตระกูลทำงานข้าราชการและการเมืองหลาย 100 ปี จับพลัดจับผลู เข้าสู่แวดวงการเมืองเป็นคณะทำงานของ “นายกฯชวน”
คุณโปลิศ เล่าย้อนให้ฟังถึงเส้นทางก่อนเข้าสู่แวดวงการเมืองว่า ตระกูลและครอบครัวที่ผมเกิดหลาย 100 ปีก่อน อยู่ท่ามกลางข้าราชการและการเมือง คุณปู่,คุณตา,คุณอาเป็นองคมนตรี ดูแลกองทัพเรือ กองทัพบก คุณปู่ดูแลเรื่องพระคลังข้างที่ ส่วนคุณปู่น้อยคุณปู่เล็กก็เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ที่เขตดุสิต บางซื่อ ส่วนคุณพ่อเป็นตำรวจติดตามคุณปู่ผม (พลเอก ทวิช เสนีย์วงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และอดีตสมาชิกวุฒิสภา ) ส่วนที่คุณพ่อตั้งชื่อ “โปลิศ” เข้าใจว่าคงอยากให้เป็นตำรวจเหมือนท่าน ตอนผมยังเด็กมีความคิดว่าอยากจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นนายอำเภอมากกว่า หลังจากเรียนจบผมก็เข้าไปสู่แวดวงปลัดอำเภอ ฝึกงานเตรียมที่จะเข้าไปเป็นปลัดอำเภอ
แต่จับพลัดจับผลูคุณแม่ผมเป็นบุตรสาวของ พล.อ.เจ้าพระยารามราฆพ เจ้าของ “บ้านนรสิงห์” หรือ “ทำเนียบรัฐบาล” ในปัจจุบัน คุณแม่อยากจัดกิจกรรมพาเด็กนักเรียน ไปทัวร์บ้านของตัวเองในอดีต คือ ทำเนียบรัฐบาลก็เลยประสานกับนายกรัฐมนตรีในช่วงนั้น คือ ท่านชวน หลีกภัย (สมัยรัฐบาลชวน 2) ผมมีโอกาสติดตามคุณแม่ไปด้วย ขณะที่คุณแม่ติดต่องานผมก็เดินอยู่ห้องท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และท่านธวัชชัย สัจจกุล และพล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ(นายทหารคนสนิทของ รมว.กลาโหม )
พล.อ.กิตติศักดิ์เห็นผมเป็นเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ เลยไปถามคุณแม่ว่าผมอายุเท่าไหร่คุณแม่บอก 25 ปี ก็น่าจะเป็นช่วงเวลาพอดีกับกฤษฎีกาเลือกตั้งใหม่ ที่กำหนดว่าคนลงสมัครรับเลือกตั้งต้องอายุ 25 ปีพอดี จึงเห็นว่าน่าจะส่งผมลงรับสมัครเลือกตั้ง สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ในขณะนั้น ซึ่งเป็นเขตของคุณชัด เตาปูน ไม่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นส.ส.ที่เขตดุสิต-บางซื่อ ตั้งแต่หลังยุคคุณตา คุณปู่ของผม หลังจากนั้นพรรคส่งผมลงสมัครรับเลือกตั้งช่วงหนึ่ง
พล.อ.กิตติศักดิ์ ยังทาบทามไปช่วยงานในคณะทำงานของนายกฯชวน ซึ่งท่านดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหมด้วย ผมได้ฝึกงานในส่วนของกระทรวงกลาโหม เห็นบทบาทของท่านในเรื่องของความมั่นคงเรียนรู้งานหลายอย่าง ดูแลเว็บไซต์ “สายตรงนายกฯชวน” และดูแล “วอร์รูมต่อต้านการข่าว” มีท่านไตรรงค์ สุวรรณคีรี เป็นประธาน ผมก็มาทำหน้าที่เลขาฯคณะนี้ด้วย ทำงานตรงนี้มาเรื่อยๆ
พบคุณหญิงกัลยาครั้งแรก ถูกทาบทามให้เป็นผู้ช่วยส.ส.
พอมีการเลือกตั้งใหม่ ตอนนั้นคุณหญิงกัลยา , ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน , พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เข้าพรรคประชาธิปัตย์ ผมไปช่วยหาเสียง จึงมีโอกาศพบกับคุณหญิงกัลยาครั้งแรก ท่านทาบทามผมไปเป็นผู้ช่วยส.ส. ซึ่งคุณหญิงกัลยาเป็นเพื่อนกับคุณแม่ผม จึงได้ช่วยงานคุณหญิงในชุดนั้นมีผมกับ ธราดล เปี่ยมพงศ์สานต์ ก็ทำงานยาวมาเรื่อยๆ
ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผมได้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ( คุณหญิงกัลยา ) เป็นการดำรงตำแหน่งทางการเมืองครั้งแรกที่ผ่านคณะรัฐมนตรี วันนี้อยู่พรรคประชาธิปัตย์มา 25 ปีพอดี แต่ถ้าดำรงตำแหน่งในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แล้วมาอยู่กระทรวงศึกษาธิการ ก็ประมาณ 14 ปี นอกนั้นก็มีตำแหน่งและหน้าที่เปลี่ยนไปมาในพรรคเรื่อยๆ
“ชีวิตคู่” ลงตัวประทับใจ “น้องแหวน” เด็กนักเรียนนอกแต่มีความเป็นไทยสูง
ส่วนเรื่องชีวิตคู่สมรสกับคุณกิติยา โสภณพนิช (น้องแหวน) กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ ลูกสาวคนเล็กของคุณหญิงกัลยา คุณโปลิศ บอกว่า งานแต่งของผม พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานสมรส และผมเข้ารับพระราชทานน้ำสังข์ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่10 ในช่วงงานจัดเลี้ยงผมและน้องแหวนขึ้นไปกล่าวบนเวที ถึงการคบหาดูใจกันให้กับแขกที่มาร่วมงานฟัง ว่ารู้จักน้องแหวนครั้งแรก ตอนไปดูละครเวทีเรื่องบัลลังก์เมฆ ของคุณบอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ ซึ่งน้องสาวผมเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ ช่วงนั้นน้องแหวนกลับจากประเทศอังกฤษ ในระหว่างที่เรียนปริญญาตรี และก่อนเดินทางไปเรียนต่อปริญญาโท น้องแหวนมากับคุณหญิงกัลยาและคุณโชติ (คุณพ่อน้องแหวน) ส่วนผมไปกับคุณแม่
ด้วยสไตล์ของน้องแหวนที่เป็นเด็กนักเรียนนอก ก็จะคนละสไตล์กับผมอย่างสิ้นเชิง ผมมองว่าเด็กที่เรียนเมืองนอกมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ขณะที่ผมจะเน้นเรื่องความนอบน้อมถ่อมตน แต่ความจริงแล้วน้องแหวนเหมือนคุณหญิงกัลยามาก คือมีความนอบน้อมและมีความเป็นไทยสูงมาก แม้ว่าจะไปเรียนที่ประเทศอังกฤษและประเทศอเมริกาตั้งแต่ 11 ขวบ ในความเป็นสากลนั้นกลับมีความเป็นไทยมากกว่า ตรงจุดนี้ทำให้เราเริ่มรู้จักคุ้นเคยศึกษากันและกัน
แต่น้องแหวนแย้งขึ้นมาบนเวทีว่าเราไม่ได้รู้จักกันตอนนั้นพี่โปลิศ ผมเลยถามว่าอ้าว!! แล้วแหวนรู้จักพี่ตอนไหน น้องแหวนบอกว่ารู้จักพี่ตอนแหวนอายุ 14 ปี พี่เหมือนเป็นหัวโจก Gang โรงเรียนเตรียมอุดม (หัวเราะ) คือผมเป็นเพื่อนแวว (ลูกสาวคนโตของคุณหญิงกัลยา)พี่สาวของแหวน เรียนห้องเดียวกัน ผมเสนอว่าให้มาบ้านเจ้าแวว เพราะว่าแม่เขารวยบ้านน่าจะใหญ่อยู่แบงค์กรุงเทพ เพื่อนๆก็โอเคตกลงมาบ้านของแวว ทุกคนก็มาจัดงาน ผมเดินไปเข้าห้องน้ำ แล้วเดินออกมาก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถักผมเปีย ยืนอยู่หน้าห้องน้ำ
ด้วยความนิสัยขี้เล่นของผม ก็นึกว่าลูกคนงานมาผมก็เลยไปตบกบาล (หัวเราะ) คือ เอามือตบหัวแบบเบิร์ดๆเบาๆแล้วผมก็วิ่งหนีไป แต่น้องแหวนจำได้แล้วก็แค้นว่าพี่คนนี้แกล้งเราตั้งแต่เด็ก ผมเลยถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นผมน้องแหวนบอกว่า ไปถามแล้วชื่อผมแปลกคือโปลิศ เขาเลยจำได้ ก็เลยเล่าย้อนกลับไปว่าเขารู้จักผมเมื่อตอนอายุอายุ 14 ปีหัวเราะกันบนเวทีผมก็เพิ่งนึกได้ ( หัวเราะ)
ชื่นชม “ครอบครัวน้องแหวน” อบรมบ่มเพาะลูกออกมาดีทุกคน
“ความประทับใจที่มีต่อน้องแหวน คือ เขาเป็นเด็กไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่อายุ 11ปี เท่าที่ปฏิสัมพันธ์กันแทบจะไม่มีความเป็นสากล หรือเป็นตัวของตัวเองหรือมีความเป็นฝรั่งจ๋าครึ่งไทยครึ่งฝรั่งเลย เขาแยกโหมดได้เวลาไทยคือไทย เวลาสากลคือสากล เวลาอยู่กับฝรั่งอยู่บนเวทีสากล ตอนไปช่วยงานผมที่ต่างประเทศ หรือกระทรวงต่างๆที่ต้องออกความเห็น ก็จะสมาร์ทมากเหมือนทั้งคุณแม่และคุณพ่อของน้องแหวน ซึ่งคุณโชติเป็นนักธุรกิจที่แตกต่างจากนักธุรกิจทั่วไป คือ Concern สังคมมากโดยเฉพาะเรื่องการศึกษา จะลงรายละเอียดแบบที่ไม่ใช่คนรวยทั่วไปจะมาทำCSR แล้วก็จะรู้ลึกซึ้งในหลายเรื่อง เช่น เรื่องปรัชญา”
น้องแหวนจะได้จากทั้งคุณพ่อและคุณแม่มาใน 2 รูปแบบ และก็จะได้จากโลกสากล ก็จะเป็นความลงตัว ซึ่งเป็นความประทับใจไม่ใช่เฉพาะว่าประทับใจผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เป็นคนเอเชียคนไทยที่มีคุณภาพระดับนี้ได้ ถ้าในอนาคตจะต้องผลิตคนออกมา ถ้าเป็นในรูปแบบนี้ประเทศเราก็น่าจะเป็นประโยชน์โดยรวม ตรงนี้เป็นความประทับใจที่มีต่อน้องแหวน ก็ต้องยกเครดิตให้ทางครอบครัวของน้อง ที่บ่มเพาะเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ เลี้ยงลูกสอนลูกออกมาได้ดีทั้ง 3 คน ที่โดดเด่นทั้งในเรื่องของวิธีคิดที่มาประกอบกับอีคิว ซึ่งทางตระกูลผมในสมัยนั้น ที่เขาพูดกันว่าเจ้าคุณตา คือ เจ้าพระยารามราฆพ ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพระยาชั้นผู้ใหญ่ที่มีอีคิวสูงที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทย หมายถึงการดูแลลูกน้องและการปฏิสัมพันธ์กับคน 2 สิ่งนี้พอไปบวกลงตัวกัน ลูกเรา 3 คนน่ะก็จะออกมามีลักษณะแบบนั้น
รักษาสมดุลระหว่าง “งาน”กับ “ครอบครัว” ส่งลูกไปโรงเรียนเองทุกเช้า
ระหว่างงานกับครอบครัวตรงนี้ ต้องรักษาความสมดุลมาก ผมมีลูก 3 คน คนโตเป็นผู้หญิง ชื่อกิตติวรา (น้องใบหม่อน อายุ 13ปี) , คนที่ 2 เป็นผู้ชายชื่อ ภูมิภักดิ์ (น้องม่อน 6 ขวบ ) ส่วนคนเล็ก กัญญปกรณ์ (น้องขมิ้น 2 ขวบครึ่ง) คิดว่าตลอดเวลาที่ทำงานพยายามรับผิดชอบงานให้ลงตัวที่สุด ไม่ว่าจะไปงานไหนแบบไหนถ้าจำเป็นต้องค้างต่างจังหวัด หรือถ้าจังหวัดใกล้เคียงไม่ไกลมากขับรถพอได้ ก็จะขับกลับไปตอนเช้าหรือบินไปบินมา
แต่ทุกครั้งที่อยู่กรุงเทพแม้ว่าจะมีงานประชุมหรือไม่มีก็ตาม ผมก็จะต้องส่งลูกไปโรงเรียนเองทุกเช้า ส่วนใหญ่จะออกไปตั้งแต่ตีห้าครึ่งหรือก่อน 6 โมงโดยที่ไม่ขาด จะพยายามเวียนส่งพร้อมกัน จัดสรรว่าให้ลูก 2 คนอยู่โรงเรียนเดียวกัน หรือบางครั้งสลับกับน้องแหวนไปส่ง เราจะไม่ใช้คนขับรถเลยและเราก็จะไม่ให้พี่เลี้ยงไปเลย เราจะไปกันเองตลอด ตรงนี้เป็นช่วงเวลาที่มีค่า หรือถ้ากลับบ้านได้ทัน 2 ทุ่มครึ่งไม่เกิน 3 ทุ่ม ลูกยังไม่หลับ ก็จะเป็นโอกาสที่ดีที่จะเจอกัน หรือแม้ว่ากำลังจะหลับ ถ้าเราไม่ต้องลงมาเขียนงานต่อหรือทำงานสรุปงานต่อ เราก็จะนอนกับเขาเพื่อให้เข้านอนไปด้วยกัน
สอนลูก-แนะน้องๆคนรุ่นใหม่เสมอ ต้อง นอบน้อม-ไหว้-ขอบคุณ เป็นกุศโลบายพื้นฐาน
กับลูกๆและสิ่งที่ผมยกตัวอย่างกับน้องๆคนรุ่นใหม่ ที่อยากจะเข้ามาทำงานตรงนี้เหมือนเป็นคนละบริบทกัน แต่ความจริงเป็นเรื่องเดียวกัน คือ เขาจะเรียนรู้จากสิ่งที่เราเป็น ลูกก็จะเห็นว่าบางวันถ้าไปลงพื้นที่กับผมหรือไปเจอผู้ใหญ่ แต่เนื่องจากลูกๆยังเล็กสิ่งที่ผมสอนลูกเป็นหลัก คือ 1. ต้องนอบน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ 2. ใครทำอะไรให้หรือผู้ใหญ่ให้ของต้องไหว้และต้องขอบคุณ 2-3 อย่างเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าเด็กรุ่นใหม่มักจะลืมเรื่องพวกนี้ และผู้ปกครองก็ไม่ได้เน้นเรื่องนี้เป็นเรื่องหลัก เพราะบางทีมาในยุคปัจจุบัน ยุคเทคโนโลยีก็จะลืม
สิ่งที่เราสอนเด็กหรือสอนลูก หรือสิ่งที่เขาเห็นเราขอบคุณ ไม่ว่าจะเป็นคนระดับไหนแบบไหนอย่างไร จะรู้จักไม่รู้จักถ้าเขาทำอะไรให้ เราต้องยกมือไหว้ขอบคุณสวัสดีทักทาย เขาเห็นตรงนี้เหมือนกุศโลบายพื้นฐาน เป็นความลึกซึ้งที่ไปตอบโจทย์ ถ้าเด็กๆมีความนอบน้อมกตัญญู มีความเห็นอกเห็นใจเข้าใจเพื่อนมนุษย์กัน เรื่องอื่นถ้าเราจะไปเสริมไปสอนก็เป็นเรื่องๆไป เพราะฉะนั้นพื้นฐานตรงนี้ผมเน้นมากในครอบครัวว่าลูกๆทุกคนต้องเป็นแบบนี้
ทำกิจกรรมปลูกป่าพาลูกๆไปด้วย ให้สัมผัสธรรมชาติของจริง ลงน้ำ-หยิบดิน-เล่นทราย
เวลาผมกับน้องแหวนลงพื้นที่ทำกิจกรรมปลูกป่า ของมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ ผมจะพาลูกๆไปด้วย ได้แบบอย่างมาจากที่คุณหญิงกัลยา ท่านให้น้องแหวนไปร่วมด้วยตั้งแต่ยังเล็กๆ ซึ่งตอนนี้ทั้งน้องแหวนและหวานลูกสาวทั้ง 2 คน ทำงานรับใช้สังคมแบบเอ็นจีโออยู่ ก็ได้รับการปลูกฝังมา ลูกๆตามพวกเราไปได้เห็น แม้ไม่ได้สอนอะไรมากมายแต่ทำให้ดูเขาก็จะซึมซับเรื่อยๆ ผมจะให้ลูกๆลงเล่นน้ำ หยิบดินเล่นดินทรายจริงๆ เราต้องย้อนมองย้อนไปว่า เด็กเมืองอาจจะมีปัญหามากกว่าเด็กต่างจังหวัด สมัยก่อนแทบไม่ต้องสอนแบบนี้ เขาก็อยู่กับสิ่งเหล่านี้มา เด็กต่างจังหวัดหรือชาวบ้านจริงๆ ถึงมีความเข้มแข็งเหมือนรากฐานของชุมชนและสังคม สิ่งที่เชื่อมโยงเกื้อกูลกันตรงนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่หลายอย่างคนเมืองกลับมาแปลกใจว่า ดีจังเลยลูกคนนี้อยู่ในบ้านคนมีฐานะ เอาไปเล่นดินเล่นทรายเล่นอิฐ จริงๆแล้วผมมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติมาก สำหรับคนไทยและวัฒนธรรม ประเพณีของเราและเป็นเรื่องที่ดี
เร่งผลักดันนโยบาย Coding ยกเป็นวาระระดับชาติ
ลูกหลานคนไทยที่เกิดมาในยุคเทคโนโลยีหลาย 10 ปีที่ผ่านมา กลับไม่ได้ไปสัมผัสตรงนั้น ซึ่งไม่ได้เป็นความผิดของเด็ก แต่ผู้ปกครองพ่อแม่ชี้แนะสั่งสอน แต่บริบทของสังคมทำให้เวลาของพ่อแม่หายไป จากการทำงาน ,หนี้สินหรือสิ่งที่เป็นภาระเยอะทำให้ลืมสิ่งเหล่านี้ไป ความจริงเป็นรากฐานปกติเลย ซึ่งผมก็เติบโตมาจากการเล่นกองดินกองทราย พ่อแม่ก็ไม่เคยสอนสิ่งเหล่านี้เลย
ตรงนี้ผมถึงได้มาผลักดันนโยบาย ที่พูดคุยกับคุณหญิงกัลยาไว้ ในเรื่องของ Coding ( การเขียนชุดคำสั่งหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในรูปโค้ด (Code) เพื่อให้คอมพิวเตอร์เข้าใจและทำในสิ่งที่ผู้เขียนโค้ดต้องการ) การเล่นดิน ทราย หิน หม้อ ตั้งแต่เด็กมันคือ Unplug Coding ทั้งหมด ทำให้เด็กมีวิธีคิดแบบเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งเราพยายามจะทำให้กลับไปอยู่ตรงนั้นให้ได้ โดยยกขึ้นมาให้เป็นวาระระดับชาติ เพราะคนไปคิดเรื่องของ Coding AI ซึ่งมันเลยจุดพื้นฐานไปแล้ว
หวังเด็กรุ่นใหม่ สนใจเรียนรู้ประวัติศาสตร์-สังคม มากกว่ามองแต่ตัวเอง
วิธีการที่จะให้เด็กรุ่นใหม่ หันมาสนใจเรื่องประวัติศาสตร์หรือสังคม เรื่องนี้ต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา ด้วยประสบการณ์การเมือง ผมกับคุณหญิงกัลยาและคณะที่ปรึกษาคิดกันหลายอย่าง ที่ เช่น เรื่องประวัติศาสตร์ แต่วันนี้ผมยังไม่เห็นความก้าวหน้า ของประวัติศาสตร์ชัดเจนเลย ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการน่าเสียดายมาก ผมพยายามนำสิ่งเหล่านี้ไปทำในบางโรงเรียนที่ผมรับผิดชอบ สิ่งที่เราจะต้องหันมาปรับปรุงคือ ประวัติศาสตร์ในหลักการ ต้องเป็นประวัติศาสตร์เชิงวิพากษ์ได้ เด็กต้องพูดคุยกันอย่างเคารพซึ่งกันและกัน เช่น สมเด็จพระนเรศวรท่านทำศึกสู้รบกับพม่า แล้วพม่าเป็นผู้ร้ายหรือพม่าเลวอย่างนั้นหรือซึ่งไม่จริง เพราะด้วยเจตจำนงของพม่าเอง เขาก็ต้องปกป้องประเทศของเขา ก็ต้องมาดูด้วยว่าถ้าเราเป็นคนพม่าเรามองอย่างไร เราเป็นคนไทยเรามองอย่างไร ถ้าเราเอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วเรามีบทสนทนาพูดคุยกันในเชิงวิพากษ์ ตรงนี้จะทำให้เราเคารพซึ่งกันและกัน เคารพในสิ่งที่เราชอบหรือไม่ชอบ
เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์ ร่วมพูดคุยแบบ Dialogue ให้เด็ก-เยาวชนมีพื้นที่แสดงออก ครูเป็นผู้ไกด์ไลน์
ที่สำคัญเด็กและเยาวชนต้องมีพื้นที่แสดงออก ครูไม่ต้องเป็นผู้สอนเพียงแต่ไกด์ไลน์ สร้างบรรยากาศและอำนวยความสะดวกในห้องเรียน เพื่อให้เด็กสนใจเรียน ด้วยวิธีการที่แตกต่างหลากหลาย ถ้าทำอย่างนี้ได้เวลามีการชุมนุม , เวลามีการวิพากษ์วิจารณ์ หรือมีการดีเบสออกสู่สาธารณะ ก็จะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ตรงนี้คือสังคมประชาธิปไตยจริงๆ ขณะนี้หลายคนที่อ้างว่า ตัวเองอยากเป็นประชาธิปไตย แต่กลับนำไปสู่ความรุนแรง แล้วก็นำไปสู่สิ่งที่อยากให้เกิดความรุนแรง แต่ขณะเดียวกันคนที่ไม่อยากให้เกิดความรุนแรง และคนที่ตั้งรับอยู่ ก็ไม่ปรับปรุงในสิ่งที่จะมีพื้นที่ให้กับทุกคน เพราะฉะนั้นตรงนี้ต้องมาหาจุดที่ลงตัว
ผมได้เชิญ นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์และผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม มาคุยในเรื่องการพูดคุยแบบมี Dialogue จะทำอย่างไร เพราะงานของนพ.สุริยเดวมีบางชิ้น ที่ระดับสหประชาชาตินำไปจดเป็นรูปแบบ ซึ่งในอนาคตจะนำมาทดลองสอนเด็กในโรงเรียนที่ ผมรับผิดชอบก่อน แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าขณะนี้เรายังไม่ได้รับผิดชอบทั้งหมด 30,000 โรงเรียน แต่เราเชื่อว่าวันนี้เรายังเวียนว่ายอยู่ในการเมืองอีก 10-20-30 ปี เราก็ยังอาจมีเวลา ถ้าเรามีจังหวะเวลาเมื่อไหร่ก็ทำได้เลย
สร้างประวัติศาสตร์ให้ประเทศไทยได้ 9 เหรียญ ในเอเชียนอินดอร์เกมส์ จับมือ “ผู้การเบิร์ด” ผลักดัน เทนนิสเป็นกีฬาหลักของ สพฐ.สำเร็จ , ทำให้ “ปท.ไทย” มีแชมป์เยาวชนกีฬาปีนหน้าผาโลกคนแรก
ส่วนงานทางด้านกีฬา คุณโปลิศ บอกว่ารับผิดชอบดูแลอยู่ 2 ชนิด คือ เป็นเลขาธิการสมาคมกีฬาปีนหน้าผาแห่งประเทศไทย และเป็นอุปนายกสมาคมกีฬาลอนเทนนิส แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สิ่งที่ภาคภูมิใจ คือ กีฬาลอนเทนนิสผมเป็นผู้จัดการทีมด้วย โดยการแข่งขันกีฬาในร่มแห่งเอเชีย หรือ เอเชียนอินดอร์เกมส์ เป็นครั้งแรกที่สร้างประวัติศาสตร์ให้ประเทศไทย ได้ 9 เหรียญสำคัญ ที่ประเทศเติร์กเมนิสถานเมื่อ 2 ปีแล้ว
และปลายปี 2564 ผมสามารถนำกีฬาเทนนิส เข้าไปเป็นกีฬาหลักของสพฐ.ได้สำเร็จ โดยร่วมกับพันเอก(พิเศษ) วันชนะ สวัสดี ( ผู้การเบิร์ด ) เป็นกรรมการสมาคมอยู่ทีมเดียวกัน เรา 2 คนผลักดันเพื่อให้เป็นหลักสูตร ในการเรียนการสอนวิชาพละของสพฐ.ซึ่งก็จะแทรกซึมกว้างขวางขึ้น สำหรับนักเรียนทุกประเภท ส่วนกีฬาปีนหน้าผา รุ่นที่ผมเข้ามาเป็นเลขาธิการสมาคมฯ สามารถที่จะทำให้มีแชมป์เยาวชนกีฬาปีนหน้าผาโลกคนแรกของประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากๆ แทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย ซึ่งในอนาคตเราจะผลักดันแชมป์เยาวชนกีฬาปีนหน้าผาโลกคนแรกของไทย ให้ไปสู่โอลิมปิกเช่นกัน ส่วนเหรียญในระดับเอเชียนเกมส์แชมป์เอเซีย ในระดับเด็กและเยาวชนและในระดับใหญ่ ก็มีพอสมควรที่ทำประวัติศาสตร์ไว้
มีคนทุกช่วงชั้นวัย เป็น “ไอดอล” ปรับใช้กับชีวิต
คุณภูมิสรรค์ กล่าวทิ้งท้ายถึงหลักในการดำเนินชีวิตว่า มีไอดอลเป็นคนทุกช่วงชั้นวัย ช่วงประวัติศาสตร์ ตรงนี้เป็นจุดที่ผมใช้ความรู้สึกส่วนตัวของผม เอาสิ่งเหล่านี้มาดำเนินชีวิตในหน้าที่การงาน เช่น ผมเลี้ยงลูกผมไม่สามารถบอกได้ว่า ผมทำตามที่พ่อหรือแม่ผมสอน แล้วนำไปเลี้ยงลูกต่อผมคิดว่าไม่ใช่ ผมคิดว่าอาจจะเอามาจากคุณปู่ เพราะฉะนั้นหลักในการดำเนินชีวิตของผม อาจจะไม่สามารถจับต้องได้เป็นรูปธรรม แต่ถ้ายกตัวอย่างก็คือเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ของหลากหลายบุคคลที่เราสนใจ แล้วเราไปหยิบแต่ละส่วนมาปรับใช้